อาการเริ่มต้นและสัญญาณเตือนของต้อหิน พร้อมการรักษาและป้องกัน
ต้อหินเป็นโรคที่เกิดจากความดันในลูกตาสูงเกินไป อาจทำลายเส้นประสาทตาและนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นหากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา อาการเริ่มต้นของต้อหินมักไม่ชัดเจน ทำให้การตรวจพบในระยะแรกยาก ในบทความนี้จะพูดถึงอาการเริ่มต้น วิธีการรักษา และวิธีการป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้
ต้อหินคือโรคอะไร
โรคต้อหิน เป็นโรคที่พบได้บ่อยในดวงตา แต่มีอันตรายสูง เนื่องจากอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นถาวรหากไม่ได้รับการรักษาหรือดูแลอย่างสม่ำเสมอ โรคนี้ทำให้การมองเห็นแย่ลง ความกว้างของการมองเห็นแคบลง จนสุดท้ายอาจสูญเสียการมองเห็นทั้งหมดได้ การสูญเสียการมองเห็นจากต้อหินเป็นสิ่งถาวรและไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาได้ ซึ่งต้อหินสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลัก ได้แก่
1. ต้อหินมุมเปิด
ต้อหินปฐมภูมิชนิดนี้เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดและแบ่งออกเป็นสองประเภทตามความดันลูกตา ได้แก่ ความดันลูกตาสูงและความดันลูกตาปกติ กลไกการเกิดโรคยังไม่ชัดเจน การดำเนินโรคมักเป็นไปอย่างช้าๆ ทำให้ผู้ป่วยมักไม่สังเกตเห็นความผิดปกติในระยะแรกส่วนใหญ่จะทราบจากการตรวจของจักษุแพทย์ เมื่อโรคดำเนินไป ผู้ป่วยอาจเริ่มสังเกตเห็นอาการตามัว มองเห็นได้แคบลง หรือความสามารถในการปรับการมองเห็นในที่สว่างและมืดลดลง
2. ต้อหินมุมปิด
ต้อหินปฐมภูมิชนิดนี้พบได้บ่อยในคนเอเชียคือต้อหินมุมปิด ซึ่งเกิดจากการอุดกั้นการระบายน้ำในลูกตาที่มุมตา ทำให้ความดันลูกตาสูง แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
3. ต้อหินจากการผิดปกติของดวงตา
ต้อหินทุติยภูมิเกิดจากความผิดปกติอื่นๆ ของดวงตา เช่น เบาหวานขึ้นตา ต้อกระจกที่สุกมาก การอักเสบภายในดวงตา เนื้องอกหรือมะเร็งในลูกตา อุบัติเหตุต่อดวงตา ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดตา และการใช้ยาบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น ยาสเตียรอยด์
4. ต้อหินตั้งแต่เกิดและในเด็กเล็ก
ต้อหินตั้งแต่กำเนิดและในเด็กเล็ก เกิดจากความผิดปกติของดวงตาตั้งแต่ในครรภ์ ทำให้ระบบระบายน้ำในลูกตาทำงานผิดปกติ อาจเกิดเฉพาะกับดวงตาหรือมีความผิดปกติทางร่างกายร่วมด้วย อาการที่มักพบ ได้แก่ กลัวแสง เปลือกตากระตุก น้ำตาไหลเอ่อ หรือแม่อาจสังเกตเห็นลูกมีลูกตาดำใหญ่ผิดปกติหรือตาดำขุ่น
อาการตามระยะของต้อหิน
อาการของต้อหินและโรคต้อหินเฉียบพลันที่พบได้บ่อย มีลักษณะแตกต่างกันไปตามชนิดของโรค โดยสามารถสังเกตได้จากอาการต่อไปนี้
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต้อหิน
การวินิจฉัยเพื่อตรวจหาต้อหิน
โรคต้อหินไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า การตรวจวินิจฉัยจึงมีความสำคัญมาก โดยสามารถตรวจวินิจฉัยโรคต้อหินอย่างละเอียดตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ ผ่านการตรวจระดับการมองเห็น การวัดค่าสายตาหักเหด้วยคอมพิวเตอร์ การตรวจตาทั่วไป การตรวจขั้วประสาทตา การตรวจมุมตา วัดความดันลูกตา ความหนาของกระจกตา การตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การถ่ายภาพขั้วประสาทตา การใช้เครื่องสแกนวิเคราะห์จอประสาทตาและขั้วประสาทตา (Optical Coherence Tomography) และเครื่องตรวจลานสายตา (Visual Field Analyzer) ที่ช่วยให้ทราบผลตรวจได้ทันที
วิธีการรักษาโรคต้อหิน
การรักษาต้อหินมีหลายวิธีที่ช่วยลดความดันลูกตาและป้องกันการสูญเสียการมองเห็นได้ ซึ่งการเลือกวิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของต้อหินที่เป็นและความรุนแรงของโรค โดยมีดังนี้
ใช้ยารักษาต้อหิน
การใช้ยารักษาต้อหินอาจรวมถึงการใช้ยาหยอดตาต้อหิน ยารับประทาน และยาฉีด โดยจักษุแพทย์จะทำการรักษาทีละขั้นตอนและติดตามผลการตอบสนองต่อการรักษาอย่างใกล้ชิด
การรักษาด้วยเลเซอร์
การรักษาต้อหินด้วยเลเซอร์ขึ้นอยู่กับชนิดของต้อหิน โดยใช้เวลารักษาไม่นาน มักจะมีการให้ยาควบคู่กันด้วย ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาด้วยเลเซอร์ต้อหินอาจรวมถึงตาแห้ง การไม่ทนแสง ระคายเคืองดวงตา และปวดตา อย่างไรก็ตามหลังการรักษาด้วยเลเซอร์ ผู้ป่วยมักพักฟื้นเพียง 30 นาทีและสามารถกลับบ้านได้ทันทีหลังรักษา
การผ่าตัดรักษาต้อหิน
เมื่อการรักษาด้วยยาและเลเซอร์ไม่ได้ผล การผ่าตัดจะเป็นทางเลือกสุดท้าย โดยขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของต้อหิน สิ่งสำคัญที่ควรเข้าใจคือการผ่าตัดรักษาต้อหินมีจุดประสงค์เพื่อลดความดันในลูกตา ไม่ใช่การกำจัดต้ออย่างถาวร เนื่องจากเมื่อเป็นต้อหินแล้ว สามารถควบคุมอาการไม่ให้แย่ลงได้เท่านั้น
ป้องกันไม่ให้เกิดต้อหิน ได้อย่างไร
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดต้อหิน การดูแลดวงตาและสุขภาพตาอย่างเหมาะสม ช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ โดยทำตามวิธีง่ายๆ เช่น
สรุป
ต้อหินคือโรคที่เกิดจากความดันในลูกตาสูง ซึ่งสามารถทำลายเส้นประสาทตาและส่งผลต่อการมองเห็น มีหลายประเภทคือต้อหินปฐมภูมิแบบมุมเปิดและมุมปิด ต้อหินทุติยภูมิ และต้อหินตั้งแต่เกิด วิธีรักษาต้อหิน ได้แก่ ยาหยอดตา ยาเม็ด ยาฉีด การรักษาด้วยเลเซอร์ และการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของอาการ สามารถป้องกันต้อหินได้ด้วยการดูแลดวงตา เช่น ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการใช้ยาสเตียรอยด์โดยไม่จำเป็น ระมัดระวังป้องกันการบาดเจ็บที่ดวงตา และการควบคุมโรคประจำตัวต่างๆ